วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

กฏหมายไม่ใช่เรื่องยาก ตอนที่2 นิติเหตุและเหตุธรรมดา

นิติเหตุ นั้นแตกต่างจาก เหตุธรรมดา คือ นิติเหตุจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในสิทธิ ส่วนเหตุธรรมดาไม่ได้ทำให้มีการเคลื่อนไหวใดๆในสิทธิแต่จะเกิดการเคลื่อนไหวในสังขารแห่งธรรมชาติเท่านั้น

เหตุธรรมดา แยกได้สองกรณีคือ

1) เหตุธรรมดาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ฝนตก แดดออก ฟ้าร้อง
2) เหตุธรรมดาที่เกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคล เช่น การกิน การนอน การนั่ง การเดิน การวิ่ง

ส่วน นิติเหตุ นั้นแยกได้2กรณีคือ

1) นิติเหตุที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น
- การเกิดของบุคคล เพราะทำให้เกิดสิทธิของบุคคลนั้นขึ้นมา
- กาลเวลาก้าวล่วงไปนับอายุของบุคคลได้ 20ปีบริบูรณ์ เพราะสิทธิของบุคคลนั้นสามารถทำนิติกรรมใดๆได้โดยลำพัง
- ระยะเวลาได้ผ่านพ้นไปจนครบกำหนดตามที่ก.ม.บัญญัติไว้โดยไม่มีการใช้สิทธิเรียกร้อง ทำให้สิทธิเรียกร้องนั้นขาดอายุความ
- ที่ดินแปลงหนึ่งเกิดงอกที่ริมตลิ่ง ทำให้เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีกรรมสิทธิ์ในที่งอกนั้น
- บุคคลถึงแก่ความตาย ทำให้สิ้นสุดสภาพบุคคล ทรัพย์สินต่างๆก็จะตกเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท

2) นิติเหตุที่เกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคล
2.1 นิติเหตุที่เกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคลโดยไม่จำกัดว่าผู้กระทำจะมีเจตนามุ่งให้เกิดผลในกฏหมายหรือไม่ ในกรณีนี้ กฏหมายรับรู้นำมาบัญญัติว่าเป็นเหตุทำให้เกิดผลในกฏหมาย คือมีการเคลื่อนไหวในสิทธินั่นเอง เช่น การเดินของคน โดยปรกติเป็นเหตุธรรมดา แต่ถ้าเกิดไปเหยียบเอาทรัพย์สินผู้อื่นเสียหายโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม การเดินย่อมเป็นนิติเหตุเพราะทำให้มีการเคลื่อนไหวในสิทธิคือเจ้าของทรัพย์สินที่เสียหายนั้นเกิดสิทธิในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้
2.2 นิติเหตุที่เกิดขึ้นจากการกระทำของบุคคลโดยผู้กระทำมีเจตนามุ่งให้เกิดผลในกฏหมาย ในกรณีนี้ถือเป็น นิติเหตุที่มีความสำคัญอย่างหนึ่งในการทำให้เกิดผลในกฏหมาย คือทำให้เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิ ทั้งนี้ต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำได้กระทำลงโดยชอบด้วยกฏหมาย ด้วยใจสมัคร และมีเจตนามุ่งให้เกิดผลในกฏหมาย เช่น การทำพินัยกรรม การสั่งซื้อสินค้า การจดทะเบียนสมรส

วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่านะครับ คราวหน้าเราค่อยมาต่อเกี่ยวกับเรื่อง"หลักซึ่งเป็นรากฐานของก.ม.ลักษณะนิติกรรมและสัญญา"

จะเห็นได้ว่าก.ม.มีที่มาที่ไป มีจุดเริ่มต้นและข้อสรุป...ถ้าเราลำดับการมาการไปของเหตุและผลได้ ก.ม.ก็ไม่ใช่เรื่องยาก...

มาเริ่มเรียนกฎหมายไปพร้อมๆกันเถอะ...

“หนังสือเล่มอย่างหนาเลย”
“เพิ่งลงเรียนเทอมแรกก็เซ็งซะแล้ว”
“วิชาอะไรเนี่ยให้ท่องอย่างกับนกแก้วนกขุนทอง ท่องไปแล้วได้อะไรฟะ!”
“มีแต่ตัวหนังสือให้จำ...จะไหวเหรอเนี่ย!”
หลายความคิดและความรู้สึกที่อยู่ในหัวผมตั้งแต่เริ่มเรียนนิติศาสตร์ภาคพิเศษวันแรก...

ผมเป็นคนนึงที่พึ่งจะมาลงเรียนวิชากฏหมาย โดยอาศัยเทียบโอนหน่วยกิจจากปริญญาใบที่แล้วที่จบทางด้านบริหารธุรกิจเอกการตลาดมา...คิดไปก็ท้อ บ่นไปก็เท่านั้น...เอาเวลาไปลุยกับมันเลยดีกว่า...

วิชาแรกที่ผมต้องเรียนคือ กฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า “นิติกรรม” กันก่อน....

ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 149 ระบุไว้ว่า "นิติกรรม" หมายความว่า การใดๆอันทำลงโดยชอยด้วยกฏหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลเพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับซึ่งสิทธิ

นิติกรรมเป็นกฏหมายที่กำหนด “เครื่องมือ” ให้แก่บุคคลเพื่อใช้ในการก่อนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล ซึ่งอาจเป็นการ ก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน หรือ ระงับสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่ง เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า “การเคลื่อนไหวในสิทธิ”

“สิทธิ” คืออะไร? สิทธิคือประโยชน์ที่กฏหมายรับรองและคุ้มครอง อันก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลอื่นในอันที่จะต้องเคารพสิทธิของผู้ทรงสิทธินั้น

เมื่อมี สิทธิ ก็ต้องมี หน้าที่ มาเป็นของคู่กัน เพราะถ้าใครมี สิทธิ ก็จะต้องมีอีกคนมีหน้าที่ รองรับสิทธินั้น ถ้าบุคคลที่มีหน้าที่รองรับสิทธิแต่ฝ่าฝืนต่อสิทธินั้น ก็จะต้องถูกบังคับโดยกฏหมาย...และที่สำคัญคือบุคคลเท่านั้นที่จะมีสิทธิได้ สิ่งที่มิใช่บุคคลไม่อาจมีสิทธิได้... ส่วน"เหตุ"ทั้งหลายที่ทำให้มีการเคลื่อนไหวในสิทธิเราเรียกกันว่า "นิติเหตุ"....

คราวหน้ามาต่อกันที่เรื่อง นิติเหตุแตกต่างยังไงกับเหตุธรรมดานะครับ.....

จริงๆแล้วเรียนกฏหมายก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด ถ้าเราทำความเข้าใจกับมันและลำดับเรื่องราวขั้นตอนวิเคราะห์เป็นเรื่องๆไปโดยใช้หลักกฏหมายมาอ้างอิง....เพราะฉะนั้น จะต้องแม่นยำในความเข้าใจพื้นฐานเพื่อจะนำมาปรับใช้กับกรณี, เหตุการณ์, และคดีต่างๆที่เกิดขึ้น...